จากข้อเสนอของสภาเกษตรกรแห่งชาติในการให้ภาครัฐนำกัญชามาศึกษาวิจัยเพื่อใช้สารสกัดรักษาโรค หวังลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยและสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจฐานราก โดยให้คัดเกษตรกรที่มีคุณภาพปลูกกัญชาในพื้นที่ควบคุม
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นำกัญชามาใช้ทดลองวิจัยรักษาโรคในคนได้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ ทั้งนี้ การผลักดันปลดล็อคให้กัญชาเป็นพืชสมุนไพรเพื่อใช้รักษาโรคนับจากวันแรกที่เข้าพบอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ใช้เวลา 2 เกือบ 3 ปี กว่าเรื่องนี้จะเข้าสู่การพิจารณา ครม.ได้ และก็ต้องเชื่อว่าจากนี้ไปอีก 2-3 ปี ชาวบ้านถึงจะได้อานิสงส์ใช้กัญชารักษาโรคได้ นับเป็นการใช้เวลาเดินทางยาวนานมากน่าเสียดายที่ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องกัญชารักษาโรคหลายประเทศทั่วโลกได้แก้กฎหมายจนสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายมาหลายปีแล้ว และมีเอกสารการวิจัยของสถาบันใหญ่ๆทั้งในอเมริกา แคนาดา อิสราเอล วิจัยจนได้รู้ถึงสูตรเคมี สรรพคุณ สารออกฤทธิ์ พร้อมยืนยันได้ว่าสามารถที่จะเยียวยาผู้ป่วยได้ถึง 100 กว่าโรค ก็น่าเสียดายหากประเทศไทยจะเริ่มต้นศึกษา หากนำเอกสารการวิจัยที่มีอยู่ทั้งโลกเพื่อที่จะเอามาดัดแปลงใช้ประโยชน์โดยไม่ต้องเริ่มต้นวิจัยใหม่จะสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผ่านมายังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ไทยคนไหนวิจัยจริงจังเลยเพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมายมาตลอดหลายสิบปี น่าที่จะเอาความรู้จากทั่วโลกมาเริ่มต้นแล้วต่อยอด เพราะมีหลายผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายแล้วและทั้งหมดจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเรียบร้อยหากจะเดินวัดรอยเท้าก็ไม่ทันการณ์ เราควรต้องศึกษาแล้วดัดแปลงเพื่อป้องกันปัญหาจากการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมีทางออกเพื่อให้ผู้ป่วยได้รักษาและสามารถผลิตยาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายไม่ถูกกฎหมายลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาฟ้องร้องทีหลัง ในขณะที่คณะทำงานของสภาเกษตรกรฯได้เดินทางเข้าพบกับตัวแทนรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเมื่อเร็วๆนี้ ทางรัฐบาลลาวยินดีและอนุญาตให้นำเครื่องสกัดน้ำมันเพื่อเริ่มใช้รักษาผู้ป่วย และจะมีการจัดแปลงปลูกกัญชาเพื่อนำใบ , ยอดมาตากแห้งแล้วสกัดเป็นยา พร้อมยืนยันภายใน 3 เดือนจะแก้กฎหมายให้เสร็จซึ่งรัฐบาลประเทศลาวเริ่มดำเนินการและจะประกาศให้เป็นศูนย์กลางรักษาโรคด้วยกัญชาของเอเชีย นับว่าเขาขยับเร็วและเปิดช่องทางเร็วมาก ในขณะที่ประเทศไทย “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” อาจต้องอพยพผู้ป่วยและญาติพี่น้องที่ต้องการเยียวยาด้วยสารสกัดจากกัญชาไปรักษาที่เวียงจันทน์ประเทศลาว หากทุกรัฐบาลสนใจภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องกัญชารักษาโรคมาช้านานเข้าไปร่วมคิดเชื่อว่าเป็นทางลัดให้รัฐบาลเดินเร็วได้มากขึ้นแต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้รับความสนใจเลย แต่ก็ต้องขอขอบคุณที่ถึงแม้ว่าจะเดินช้าแต่ก็ยังเดิน
“คาดหวังว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจะเข้าใจและเร่งรัดให้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นคิดว่าในระยะอันใกล้นี้ถ้าคนไทยกับผู้ป่วยทั้งโลกอพยพไปรักษาอยู่ที่ประเทศลาวเศรษฐกิจที่นั่นก็จะดีมาก ในขณะที่ประเทศไทยซึ่งมีความรู้เรื่องนี้อยู่เยอะก็จะเสียโอกาสมาก เงินที่คิดว่าจะมาแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรเศรษฐกิจฐานรากอย่างพวกเราเคยฝันกันไว้ก็จะถูกปิดกั้นไป” นายประพัฒน์ กล่าวปิดท้าย
…………………………………………………………………………………..
ข่าว : วัฒนรินทร์ สุขีวัย
ภาพ : พุทธชาติ แซ่เฮ้ง
อำนวยการข่าว : ภาสันต์ นุพาสันต์